ภาครัฐชวนคู่รัก LGBTQ จดทะเบียนในเทศกาลวาเลนไทน์ 2023

ภาครัฐชวนคู่รัก LGBTQ จดทะเบียนในเทศกาลวาเลนไทน์ 2023

เทศกาลวันวาเลนไทน์ 2023 นี้ LGBTQ คึกคัก เมื่อภาครัฐหลายหน่วยงานจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ เพื่อส่งสัญญาณตอบสนอง “สมรสเท่าเทียม”

กรุงเทพมหานคร  – เฟซบุ๊คแฟนเพจ “สำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย โพสท์ข้อความ “สมรสเท่าเทียม” กฎหมายแห่งความเท่าเทียมที่กำลังรอคอย ….. ความหวังว่าอีกไม่นาน เชิญชวนพี่น้อง LGBT มาเป็นสักขีพยาน และแสดงพลังกันมากๆครับ ลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 12 ก.พ. 2566 ตามลิงค์แนบ

ทั้งนี้ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 08.00 – 16.00 น.  ที่ห้อง Sunset Terrace ชั้นที่ 11 ของโรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย จะมีกิจกรรม ชวนคู่รัก LGBTQ ร่วมบันทึกจดแจ้ง “คู่สมรสเพศเดียวกัน” เพื่อแสดงถึงความเท่าเทียมกันในสิทธิเสรีภาพ

Reference: เฟซบุ๊คแฟนเพจ “สำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย”

เครดิตภาพ : เนชั่นออนไลน์

ภาคตะวันออก – ก็ไม่น้อยหน้ากัน เมื่อนายเรืองฤทธิ์ ประกอบธรรม นายอำเภอเมืองระยอง พร้อมด้วย นายภุชงค์ สฤษฎีชัยกุล ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 จังหวัดระยอง ร่วมจัดกิจกรรมแถลงข่าวการจัดงาน วันวาเลนไทน์ “รักไม่มีข้อแม้ รักแท้ๆ ไม่แพ้ทิดน้อย” ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566  ณ เจดีย์กลางน้ำ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง

Reference: เนชั่นออนไลน์

เครดิตภาพ : เนชั่นออนไลน์

ธรรมศาสตร์ปลดล็อคคำนำหน้านาม

ธรรมศาสตร์ปลดล็อคคำนำหน้านาม

สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกาศ เป็นสิทธิ์นักศึกษาจะให้เรียกตัวเขาว่าอะไร

จากอำนาจตามความในข้อ 82 ของระเบียบกิจกรรมนักศึกษาว่าด้วยการดำเนินงานและการประชุมสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2564

ที่ประชุมสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมัยสามัญ 1 ครั้งที่ 4 ในวันที่ 27 ตุลาคม 2564 มีมติให้แก้ไขระเบียบดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 62 เสียง ไม่เห็นชอบ 0 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง โดยให้เพิ่มความดังต่อไปนี้ในหมวด 4 การจัดระเบียบและความเรียบร้อย ในข้อ 77 ความว่า การขานชื่อและการระบุชื่อของบุคคล ให้กระทำดังนี้

ในการขานชื่อ หรือระบุชื่อตนเอง ให้เป็นเสรีภาพของบุคคลนั้นที่จะใช้หรือไม่ใช้คำนำหน้านามก็ได้

ในการขานชื่อ หรือระบุชื่อของบุคคลอื่น ต้องไม่ขานหรือระบุคำนำหน้านามของบุคคลนั้น เว้นแต่บุคคลนั้นประสงค์ให้ใช้คำนำหน้านาม ดังนั้น ในการดำเนินงานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ยึดถือแนวทางปฏิบัติดังกล่าว

 

The Thammasat University Student Council has made a proactive move to liberate the use of pronouncing in identifying a person.

The Thammasat University Student Council announced on October 27, 2021, the guidelines for appropriate implementation of work without a gender framework that blocks gender diversity by liberating them from sexism, restricting their freedom to define themselves, and ending the rejection of different gender identities among students of Thammasat University.

The initiative was fully supported by landslide votes (62 for 0; 2 abstentions from voting). Students are allowed to choose how to address themselves.

«-HOME

ARTICLES-»

ทำไมคณะเก่าแก่แห่งนี้ถึงกลายเป็น LGBTQ-Friendly ได้?

ทำไมคณะเก่าแก่แห่งนี้ถึงกลายเป็น LGBTQ-Friendly ได้?

ใครจะเชื่อว่า ‘โรงเรียนกฎหมาย’ แห่งแรกของประเทศไทย อายุเกือบ 90 ปีแห่งนี้ จะหันมาให้ความสำคัญกับ ‘ความหลากหลายทางเพศ’ ในทุก ๆ ด้าน?

วันที่ 1 มิถุนายน 2564 บนเว็บไซต์ของคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ มีโพสต์ประกาศที่ใครๆ อ่านแล้วต้องแปลกใจ กับข้อความที่สื่อสารกับสาธารณะ ต้องบอกว่า ‘ล้ำ’ มากสำหรับอุดมศึกษาในวงการการศึกษาด้านกฎหมายของไทย

ประกาศคุณค่าและนโยบายของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยการยอมรับความหลากหลายทางเพศ

ประกาศที่ออกสู่สายตาประชาชนในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นเดือนที่ทั่วโลกจัดไว้ให้เป็น ‘Pride Month’ เพื่อเปิดโอกาสให้ความแตกต่างหลากหลายทางเพศในทุกๆ วงการเกิดขึ้น เป็นเวลาที่ตรงกันโดยบังเอิญ หรือเพราะจังหวะมันได้?

ทำไมอยู่ๆ คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ถึงมาให้ความสำคัญเรื่องนี้?

“ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เคยอยู่ในความสัมพันธ์กับผู้หญิงค่ะ ตอนนั้นเสียงจากคนรอบตัวที่หวังดีกับเรามากๆ บอกว่า อย่าเปิดเผยเลยนะ ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหาในการหางานในอนาคต จะอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในสังคมได้อย่างไร”

ดร.พนัญญา ลาภประเสริฐพร ผู้อำนวยการศูนย์ Law TU Health & Wellness เล่า

อาจารย์โบว์’ เชื่อมโยงประสบการณ์ชีวิตส่วนตัว และรับรู้ถึงความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียม ความอึดอัด และความเจ็บปวด 

“พอจุดเริ่มแรกถูกเซ็ตมาแบบนั้น บอกตรงๆ เลยว่าตลอดเวลาที่อยู่ในความสัมพันธ์มันอยู่ด้วยความหวาดกลัว อยู่ด้วยความรู้สึกว่าการอยู่ในความสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกันมันด้อยกว่าคนอื่นเหรอ ถึงวันนี้เรายังจำความรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกหวาดกลัวนั้นได้

ประกอบกับตอนนั้นมีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งมีอัตลักษณ์ทางเพศอีกแบบ และเรารู้ว่าเขาจะต้องปิดบังอัตลักษณ์ทางเพศ เราก็คิดไปว่า คนที่ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เลยอย่างเสรี มันจะถูกกดทับและถูกบั่นทอนจิตใจมากแค่ไหน ในขณะที่เรายังสามารถแต่งตัวและเป็นตัวของเองได้ เพียงแค่กลัวที่จะต้องเปิดเผยเรื่องของคนรักเท่านั้น”

ความคิดนั้นยังคงดังก้องอยู่ ทำให้อาจารย์นิติศาสตร์ท่านนี้ให้สัญญากับตัวเองว่า มันไม่ควรที่จะต้องมีคนมาถูกบั่นทอน ถูกกดทับแบบนี้อีกแล้ว

แม้ตอนนี้เธอจะไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์นั้นแล้ว และเดตกับผู้ชาย แต่ยังจดจำความรู้สึกนั้นไว้เพื่อเป็นพลังในการทำงานด้านนี้ต่อไป โดยไม่ได้ปิดบังอดีต บุคคลท่านนี้น่าจะเป็นอาจารย์ของคณะนี้เพียงไม่กี่คน หรือไม่ก็อาจเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ที่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้นักศึกษาฟัง ‘อย่างเปิดเผย’ และทำให้เป็น ‘เรื่องปกติ’ ที่สุด

ความรู้สึกปลอดภัยและให้ความเคารพในตัวตนกันและกันได้รับการตอกย้ำมากขึ้น เมื่อเธอได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่มหาวิทยาลัยโทรอนโต ประเทศแคนาดา ในช่วงที่กำลังศึกษาต่อปริญญาเอก และได้เห็นอะไรบางอย่างที่เกิดแรงบันดาลใจและความคิดต่างๆ

“ทุก ๆ ที่ในมหาวิทยาลัยจะมีโปสเตอร์ประกาศว่า ที่นี่เป็นพื้นที่ปลอดภัย จะไม่ยอมรับการกระทำอันเป็นการดูหมิ่น ล้อเลียน หรือเลือกปฏิบัติใดๆ ก็ตาม เป็นสิ่งที่เห็นแล้วทำให้รู้สึกสบายใจและมั่นใจ เพราะพอเรารู้ว่าสถาบันหรือองค์กรนี้เป็นพื้นที่ปลอดภัย เราสามารถเปิดเผยได้ ถ้ามีใครมาถามว่ามีแฟนหรือยัง เราก็เล่าได้ปกติ อันนี้คือหนึ่งในแรงบันดาลใจ”

เมื่อได้กลับมาเป็นอาจารย์ที่คณะนิติศาสตร์ เธอจึงเกิดไอเดียว่าอยากจะผลักดันเรื่องนี้เป็นรูปธรรม เริ่มแรกด้วยการเล่าเรื่องตัวเองให้เป็นเหมือน ‘เรื่องปกติ’ อย่าง “เราเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงนะ” ทำให้นักศึกษารู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ต้องปกปิด พอมีแรงสนับสนุนมากขึ้น ก็ชวนกลุ่มนักศึกษาที่สนิทและสนใจมาขับเคลื่อนเรื่องนี้ไปด้วยกัน

“ทุกๆ ครั้งที่คุยกับนักศึกษา พวกเขาจะมีคำถามว่า ถ้าเราทำกิจกรรมแล้ว คณะจะว่าอย่างไรเหรอ คณะจะโอเคไหม อาจารย์จะโอเคไหม มันสัมผัสได้ถึงความกลัวบางอย่างค่ะ รู้เลยว่าการที่คณะจะออกมาประกาศนโยบาย ประกาศคุณค่า ยอมรับ และสนับสนุนในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ”

จากการคุยกับนักศึกษาปีสี่เพียงหนึ่งคน ค่อยๆ รวมกันตัวกันเป็นกลุ่มนักศึกษาที่หลากหลายทางเพศ พร้อมทั้งมีเพื่อนชายหญิงทั่วไปและกลุ่มที่ไม่ระบุเพศมาช่วยกันทำงานอย่างแข็งขัน หลายสิ่งหลายอย่างของคณะเริ่มก่อร่างขึ้น

Clubhouse มิติใหม่ของการเปิดโอกาสให้พูด ให้คิด

คณะนิติศาสตร์เป็นคณะที่มีวัฒนธรรมเปิดในเรื่องคุณค่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค สิทธิมนุษยชน จนเป็นที่เข้าใจโดยทั่วไปอยู่แล้ว และที่ผ่านมาที่นี่ก็ให้ความสนใจเรื่อง ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต และกฎหมายเรื่องความเท่าเทียม มีการจัดสัมมนาและอภิปรายอยู่บ่อยครั้ง

“น่าจะเป็นช่วงเวลาที่โชคดีมากๆ ที่คณบดี ท่านรองศาสตราจารย์ ดร.มุนินทร์ พงศาปาน เปิดกว้างมาก เราก็จัด Clubhouse ให้ทุกคนมาช่วยกันเล่าว่ามีปัญหาการถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกล้อเลียนอะไรบ้างในคณะ คณะอาจารย์ก็เปิดกว้าง ช่วยกันแชร์โพสต์ ช่วยกันพีอาร์กิจกรรม และไม่ว่าจะติดต่อไปในทางส่วนตัวกับอาจารย์ท่านไหนในคณะ ทุกคนก็พร้อมสนับสนุน ช่วยโปรโมต มันเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างราบรื่นมากค่ะ”

เป้าหมายของโครงการนี้ตั้งแต่เริ่มเลยก็คือ คณะต้องประกาศจุดยืน ‘อย่างเป็นทางการ’ และนั่นคือสิ่งที่ได้แสดงผลออกมาอย่างเป็นรูปธรรมและกำลังสร้างแรงกระเพื่อมอย่างน่าสนใจยิ่ง

“จากไอเดียนักศึกษาเอง นักศึกษาเป็นแรงบันดาลใจ อย่างเช่น ตลอดเดือนมิถุนายนเราจะต้องขึ้นสีรุ้งตลอดทั่วทั้งคณะ นี่ถ้าเปิดตึกคณะได้ก็คงมีธงรุ้งนะ ตอนนี้ (ติดปัญหาโควิด) เราก็ทำได้แค่ใน Facebook ไปก่อน”

ในขณะที่สถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งกำลังมองหาจุดอะไรที่ลงตัว และพยายามหลีกเหตุผลเพื่อ ‘ความเหมาะสม’ ที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตเรื่อง ‘การแต่งกายตามเพศสภาพ’ ‘การแต่งกายในวันรับปริญญาของนักศึกษาข้ามเพศ’ สถาบันผลิตนักกฎหมายเก่าแก่แห่งนี้ได้ประกาศความต้องการเปลี่ยนแปลง ‘ทั้งคณะ’ เพื่อรองรับความแตกต่างหลากหลายทางเพศ และนั่นไม่ใช่ประกาศเพื่อความ ‘สวยหรู’ แต่พร้อมที่จะ ‘Action Plan’ ทันที

อาจารย์โบว์เล่าว่า สิ่งหนึ่งที่นักศึกษาสะท้อนมาก็คือ คำถามจากเพื่อนนักศึกษาเรื่อง LGBTQ ที่มีการถามบ่อย จึงคิดที่จะเริ่มต้นจากการให้ข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจก่อนเป็นลำดับแรก และนับเป็นภารกิจหลักที่ทางกลุ่มนักศึกษาและคณะจะต้องสื่อสารออกไป

“มหาวิทยาลัยหลายแห่งในต่างประเทศมีแนวนโยบาย และ Action Plan เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศอยู่แล้ว เราและเพื่อนอาจารย์ก็ไปเก็บรวบรวมข้อมูลมาว่า Action Plan ของเขามีอะไรบ้าง ตั้งแต่คุยเรื่องโครงการนี้จนกระทั่งได้ประกาศเป็นนโยบายนี้ ใช้เวลาแค่ 4 เดือน”

หลังจากนำเสนอความคิด แผนงาน และได้รับความเห็นชอบแล้ว ทางคณะนิติศาสตร์จะมีการทบทวนการปฏิบัติต่างๆ เช่น แบบฟอร์ม คำนำหน้านาม รวมไปถึงข้อความประกาศในการเปิดรับนักศึกษา กระทั่งการประกาศคุณค่าและนโยบายนี้ในงานปฐมนิเทศ

ในการดำเนินการ มีคณะกรรมการตรวจสอบและส่งเสริมความเสมอภาค (เป็นคณะกรรมการที่มีอยู่แล้วและดูความเท่าเทียมในด้านต่างๆ เช่น ผู้พิการ) เป็นแม่งาน และตอนนี้กำลังร่วมกันพิจารณาว่าควรยกเลิกการขอคำนำหน้านาม หรือเปิดช่องให้คนกรอกเลือกได้ จากนั้นเตรียมจัดให้มีการสื่อสารภายในให้ชัดเจน

ตั้ง Thammasat Pride and Allies ขับเคลื่อนด้วยพลังนักศึกษาที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง

นักศึกษากลุ่มนี้รวมตัวกันตั้ง ‘Thammasat Pride and Allies’ ขึ้นมาเพื่อสร้างแนวร่วม ทั้งนักศึกษา อาจารย์ และเจ้าหน้าที่ของคณะ ตอนนี้กำลังเพิ่มจำนวนผู้ที่สนใจ และมี ‘Mission’ ร่วมกันที่ต้องการขับเคลื่อนในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างพลังที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น

‘Respectful Conduct’ (การให้ความเคารพกันและกัน) ที่จัดทำขึ้น แสดงให้เห็นว่า ต่อไปนี้เราจะกำหนดมาตรฐานใหม่ เราจะจริงจังและไม่ปล่อยให้เป็นแค่เรื่อง ‘ขำๆ’ หรือเป็นเรื่องสนุก เรามี Ambition ในการสร้างมาตรฐานใหม่ เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพและให้เกียรติกัน คณะมีนักศึกษาเป็น Trans มี Bisexual มี Non-Binary มี Asexual (กลุ่มคนที่ไม่ฝักใฝ่ทางเพศ) มหาวิทยาลัยจะเปิดกว้างทางความคิดและให้ความสำคัญในความหลากหลายนี้”

เธอกล่าวด้วยความเชื่อมั่น

 

ต่อมาในเดือนเดียวกัน ทางสภามหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ยกระดับระเบียบเกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย โดยให้นักศึกษาแต่งกายตามเพศสภาพได้ จากเดิมเป็นเพียง ‘ระเบียบ’ ต่อมาปรับให้เป็น ‘ข้อบังคับ’ โดยเพิ่มเนื้อหาข้อ 9 ว่า ‘นักศึกษาสามารถแต่งกายตามเพศกำเนิดหรือเพศสภาพได้’

“อาจารย์ยินดีมากที่มหาวิทยาลัยเปิดกว้าง อยากเห็นการรวมตัวของนักศึกษาที่เข้มแข็ง อยากเห็นหน่วยสนับสนุนต่างๆ ตัวนักศึกษามีไอเดียดีมาก เช่น อยากให้มีการสนับสนุนทางด้านจิตใจและอื่นๆ เช่น ในกรณีการ Come-out (การเปิดเผยตัว) กับพ่อแม่ เพื่อนอาจารย์เองที่อาจยังไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ก็น่าจะได้รับการสนับสนุนโดยไม่มีการกดดันใดๆ แต่เริ่มจากการที่ทุกคนช่วยสร้างให้ตรงนี้เป็นพื้นที่ปลอดภัย”

งานท้าทายต่อไปที่อาจจะหินสำหรับคณะนี้ก็คือ วงการกฎหมาย ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ว่าเป็นพื้นที่ ‘อนุรักษ์นิยมสูง’ ไม่ว่าจะเป็นศาล อัยการ ทนายความ หรือแม้กระทั่งอาจารย์ บนความเชื่อที่ว่าเสาหลักแห่งนี้ต้องมี ‘ความน่าเชื่อถือ’ การมี LGBTQ และเปิดเผยตัวเข้าไปทำงานจะส่งผลอะไรหรือไม่?

“ในอนาคตคงเป็นงานใหญ่ที่ต้องค่อยๆ ผลักดันให้เคลื่อนไปข้างหน้า ซึ่งเป็นไปตามกระแสของโลก แคนาดามีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Never Going Back: A History of Queer Activism in Canada หนังสือกล่าวว่า ประเทศเขาเปิดมากแล้ว มันเป็นกระแสไปแล้ว แต่ทุกคนยังต้องรวมพลังเพื่อผลักดันต่อไปเรื่อย ๆ ตอนนี้อาจารย์มองในแง่ดีและมีความเชื่อมั่นมากค่ะ”

ความหลากหลายทางเพศ คำถามที่ยังมีอยู่ในสังคมไทย?

ทำไมคำถามเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศยังมีอยู่ ไม่หายไป และอะไรเป็นสาเหตุที่ใครหลายๆ คนยังถามอยู่

“มันเป็นความเชื่อที่ส่งทอดกันมาจากรุ่นปู่ย่าตายาย เพียงแค่หลายคนอาจไม่เคยตั้งคำถามและมีความกลัวบางอย่างในใจ กลัวความไม่ปลอดภัย เช่น ลูกเราจะอยู่ในสังคมได้ไหม หรือตัวพ่อแม่เองจะอยู่ได้ไหมที่จะต้องเจอกับคำถามจากคนรอบตัว หัวใจหลักก็คือความกลัว อะไรที่แตกออกมาจากสิ่งที่เรายึดถือเดิมอาจทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยขึ้นลึกๆ ในใจ คำถามก็คือจะทำอย่างไรให้ความกลัวนั้นหายไป คำตอบก็คือการสร้างคุณค่าใหม่มาละลายความเชื่อนี้”

ช่วงที่ตัวเองเรียนจบและกำลังจะกลับไทยรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ ด้วยวัยที่ทำให้กลัวว่าจะมีคนถามว่าแต่งงานหรือยัง เลยไปคุยกับเทอราปิสต์ซึ่งเป็นคนเยอรมัน ว่าเราจะบอกกับญาติผู้ใหญ่อย่างไรว่าเราคบผู้หญิง เพราะพวกเขาคงยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่เราไม่อยากโกหก อยากให้เกียรติคนที่เรารัก เลยถามเทอราปิสต์ว่าถ้าพูดเรื่องทฤษฎีสังคมชายเป็นใหญ่ดีไหม คำตอบที่ได้กลับมาคือ ในสังคมเยอรมนี เมื่อคนในตำแหน่งสำคัญๆ กล้าออกมาเปิดเผยตัวตนมากขึ้น เป็นตัวของตัวเองได้ ไม่ใช่ชีวิตต้องหมดหนทางหรือด้อยกว่า เมื่อมีคนจำนวนมากขึ้นค่อยๆ เปิดจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา คุณค่าของสังคมจะเปลี่ยนไปได้อย่างแน่นอน” ดร.พนัญญากล่าว.

 

แหล่งที่มา : The Standard
เผยแพร่เมื่อ : 7 กรกกฎาคม 2564
ผู้เขียน : วิทยา แสงอรุณ
ภาพ : The Standard
Link : ต้นฉบับ: ทำไมคณะเก่าแก่แห่งนี้ถึงกลายเป็น LGBTQ-Friendly ได้?

 

«-HOME

ARTICLES-»

LGBT Chronicle: อังกฤษล้ำยกเครื่องหลักสูตรเพศวัยใสหวังไล่ท้นยุคโซเชียล

LGBT Chronicle: อังกฤษล้ำยกเครื่องหลักสูตรเพศวัยใสหวังไล่ท้นยุคโซเชียล

เจ้าแห่งระบบการศึกษาของโลกอย่างอังกฤษ ไม่ใช่แค่ขยับ แต่ครั้งนี้ ปรับใหญ่ มั่นใจหลักสูตรเพศศึกษาและความสัมพันธ์ระหว่างเพศแนวใหม่จะสามารถเตรียมเยาวชนตั้งแต่ชั้นประถมให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัลได้

Relationship and Sex Education หรือหลักสูตรการศึกษาด้านเพศสัมพันธ์และความสัมพันธ์ เรียกย่อๆ ว่า RSE กำลังถูกเตรียมนำไป “บังคับใช้” ในทุกโรงเรียนประถมทั่วเกาะอังกฤษ และมีกำหนดว่าต้องเริ่มใช้ในอีกสองปีข้างหน้า นับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2020

เขาจะสอนอะไร?
หลักสูตรด้านเพศของประเทศฉบับปัจจุบัน มีอายุ 18 ปีแล้ว ซึ่งถูกปรับมาเมื่อปี 2000 แต่โลกเปลี่ยนเร็วมากจนต้องหันมาทบทวนกันอีกครั้งแบบ…ยกเครื่อง แล้วที่รู้ว่าโลกเปลี่ยนและหลักสูตรการศึกษาตามไม่ทันก็เพราะเกิดปัญหาในหมู่เยาวชนมากมายจนผู้ใหญ่เวียนศีรษะ…คิดไม่ออก

ไม่ว่าจะเรื่องคุณแม่วัยใส เรื่องเยาวชนสับสนในความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ประเด็น LGBT รวมถึงการ Bully หรือการกลั่นแกล้งแทงใจกันด้วยคำพูดและการกระทำทั้งต่อหน้าและลับหลัง ปัญหาเรื่องนี้ทวีความรุนแรงและรวดเร็ว

นอกจากเรื่องเพศศึกษาทั่วไปที่ต้องปรับมุมมองของผู้สอนและผู้เรียนแล้ว หลักสูตร RSE จะพูดถึงเรื่อง ความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่หลากหลาย เช่นความสัมพันธ์ของเพศเดียวกัน การแต่งงานสำหรับคนเพศเดียวกัน ความหมายใหม่ของคำว่าครอบครัวที่อาจจะมีพ่อกับพ่อ มีแม่กับแม่ เรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) เรื่องการยินยอมพร้อมใจที่จะมีเพศสัมพันธ์ และเรื่องการใช้สื่อออนไลน์อย่างรู้เท่าทันและไม่ถูกหลอก

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาของอังกฤษผู้คล่องแคล่วและมาดมั่น นายเดเมียน ไฮนด์ส (Damian Hinds) ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งนี้เมื่อต้นปี 2018 (และเป็นผู้ชายทั่วไปที่สนับสนุน Gay Marriage) บอกว่า พอจบชั้นประถม อย่างน้อยเด็กๆ ต้องรู้ว่า ในโลกนี้มีครอบครัวหลากหลายแบบและแสนจะแตกต่างจากที่เด็กรู้จักจากเพื่อน เพราะโลกนี้เป็นโลกกว้าง ต้องหัดเคารพความแตกต่างหลากหลายของคน และเรียนรู้ด้วยว่า ครอบครัวแบบไหนก็ตาม ต่างมีความห่วงใยและผูกพันด้วยความรักกันทั้งนั้น

หัวข้อ LGBT เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกบรรจุไว้ใน RSE เขายังบอกด้วยว่า สำหรับคุณครูที่สอนหัวข้อนี้ ต้องมีการเตรียมตัวด้วย เพราะในระหว่างที่สอนอาจจะพบเจอเด็กที่กำลังสงสัยตัวเองอยู่ว่าอาจจะเป็น LGBT (นี่คงต้องรวมกรณีเด็กมีความคิดจะฆ่าตัวตาย) และต้องรู้วิธีสื่อสารกับเด็กที่กำลังเผชิญกับภาวะสับสนในตัวตนให้ถูกต้องด้วย

เรียนตั้งแต่ประถม คุณพ่อคุณแม่จะว่าอะไรมั๊ย?
ถ้าเป็นคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองมาอ่านเรื่องนี้ ก็ต้องถามเหมือนกัน ไม่เด็กไปหรือนะคุณ เอามาสอนตั้งแต่ประถมน่ะ ที่มาสอนเรื่องเพศศึกษาและความสัมพันธ์ และยังมีเรื่อง LGBT มาเกี่ยวข้องอีกด้วย เรื่องนี้ คนที่ออกแบบหลักสูตรได้เตรียมรับมือไว้แล้ว…อย่างสวยเลยล่ะ

กรณีนี้ ถึงแม้หลักสูตรนี้เป็นวิชาภาคบังคับ แต่ในทางปฏิบัติย่อมมีหนทางยืดหยุ่น ถ้าครอบครัวนั้นมีเรื่องความเปราะบางของศาสนามาเกี่ยวข้อง หรือคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครองไม่พึงพอใจให้ลูกหลานรับรู้ ก็สามารถเอาเด็กออกจากวิชานั้นๆ ได้ โดยทางโรงเรียนเป็นผู้ประเมินว่า ควรสอนในลักษณะไหนเพื่อให้เหมาะกับผู้เรียนที่สุด ทั้งในเรื่องอายุ การรับรู้ และศาสนา

นายไฮนด์ส ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่า การได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการถือเป็นงานในฝันของเขา บอกว่า แล้วแต่พ่อแม่ ถ้าไม่พอใจที่จะให้ลูกเรียน แต่ถ้าเด็กอายุ 16 บรรลุนิติภาวะแล้ว เด็กสามารถเลือกได้เองว่าจะเรียนเรื่องนี้ในโรงเรียนหรือไม่ โดยพ่อแม่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ด้วยโลกเปลี่ยนอย่างเร็วมาก เยาวชนต้องได้รับการเตรียมตัวให้ทันโลกเพื่อให้พวกเขาปรับตัวได้ในเรื่องเกี่ยวกับตัวเองและความสัมพันธ์กับผู้อื่น

การปฏิวัติหลักสูตรเพศศึกษาและความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่เป็นการเตรียมตัวเยาวชน แต่ยังจะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดจากความไม่เข้าใจเรื่องเพศที่นำไปสู่การท้องไม่พร้อม การติดเชื้อเอช ไอ วีในหมู่เยาวชน รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ และการทำร้ายร่างกายกันเพราะไม่เข้าใจความแตกต่างหลากหลายทางเพศ ที่นำไปสู่ความรุนแรง การทำร้ายร่างกาย จนสูญเสียชีวิต

นักการศึกษาของอังกฤษเห็นภาพรวมของปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นและยอมรับว่า หลักสูตรปัจจุบันที่อายุกว่า 18 ปี เขียนขึ้นในยุคก่อนที่เยาวชนจะเข้าถึงข่าวสารข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือได้ ทำให้เกิดคำถามเรื่องการรู้เท่าท้นที่เยาวชนควรรู้ทั้งเรื่องความปลอดภัยและเรื่องกฎหมาย

ผมเชื่อว่าในไม่ช้าหลักสูตรการศึกษาของไทยก็จะต้องหันมาไล่ให้ทันเยาวชนไทยที่ถูกส่งออกไปเผชิญประเด็นทางเพศและความสัมพันธ์แบบงงๆ และเลิกความคิดเดิมๆ เก่าๆ เช่น ชี้โพรงให้กระรอก หรือเรื่องเพศเป็นเรื่องน่าอาย

ปัญหาเดิมๆ ควรจบได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนส่วนใหญ่ที่ยังใช้การบรรยายเป็นเพียงเครื่องมือเดียวในการสื่อสาร และครูส่วนใหญ่ก็ขาดความรู้เชิงเทคนิคในการสอนวิชาเพศวิถีศึกษา (หากเรียกว่า เพศศึกษา อาจจะฟังดูโบร่ำโบราณไปแล้ว) ผลวิจัยของมหิดลฉบับหนึ่งเรื่องการทบทวนการเรียนการสอนเพศวิถีศึกษาในสถานศึกษาไทย ระบุว่า นักเรียนชายระดับม. 1 ถึง ม. 6 ร้อยละ 16 (ผมว่าน้อยไปนะ) เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว และมีนักเรียนจำนวนมากที่มีทัศนคติไม่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิทางเพศ

เรื่องเพศไม่ใช่เรื่องต้องปกปิด เพราะยิ่งปิด ยิ่งอยากรู้ ส่วนความอยากลอง เราก็ล้วนมีอยู่ในตัวทุกคนไม่ว่าจะวัยไหน

เทรนด์องค์กร: ความเท่าเทียมกันในความแตกต่าง

เทรนด์องค์กร: ความเท่าเทียมกันในความแตกต่าง

“ขอบคุณครับแม่ ที่เชื่อในสิ่งที่ผมรัก” 

เด็กผู้ชายวัยอนุบาลกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ ประตูเปิดออก คุณแม่มองมาที่ลูกน้อยอย่างไม่เชื่อสายตา ลูกชายกำลังเอาลิปสติกมาทาปากตัวเองจนเลอะเทอะไปหมด สีหน้าของคุณแม่แสดงความกังวลจนคนดูลุ้นว่า เธอจะทำอะไรต่อไป

ภาพในหัว เธอเห็นตัวเองไม่พอใจ เห็นตุ๊กตาในบ้าน รูปถ่ายต่างๆ มีสีทาไปที่ปากเต็มไปหมด ในหัวของเธอ เธอกำลังเกรี้ยวกราดกับลูกน้อยอย่างอารมณ์เสียที่สุด และเป็นภาพที่เธอรับไม่ได้

แต่แล้ว เธอเลือกที่จะไม่ห้ามปราม แต่ปล่อยให้ลูกน้อยค้นหา เธอเอาใบหน้าของเธอเองให้ลูกละเลงทาลิปสติก ภาพตัดกลับไป เขาได้เป็นศิลปินตัวน้อยที่กำลังทำงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่พร้อมๆ กับเสียงบรรยายประกอบโฆษณาของไทยชิ้นนี้ว่า 

“ขอบคุณครับแม่ ที่เชื่อในสิ่งที่ผมรัก” 

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประเทศญี่ปุ่น มีร้านขายของแห่งหนึ่ง นิยมชมชอบการดูแลใส่ใจความรู้สีกและความคิดเห็นของลูกค้าเป็นอย่างมาก วันหนึ่งมีใบคอมเม้นท์จากลูกค้าท่านหนึ่ง ส่งเสียงบ่นปนคำสั่งว่า เขาเห็นคู่เกย์เดินจับมือกันเข้ามาที่ร้าน และเริ่มสังเกตเห็นว่า ร้านนี้มีลูกค้าเกย์หนาตามากยิ่งขี้น จนรู้สึก “ขัดหูขัดตา” จึงขอให้ร้านหาทางไม่ให้มีเกย์มาซื้อของที่นี่

ทางผู้บริหารของร้านตอบกลับไปว่า ร้านนี้ให้บริการลูกค้าทุกคนและลูกค้าทุกคนมีความสำคัญ ประกอบกับทางร้านมีลูกจ้างเป็นประชากรกลุ่มนี้ จึงขอแนะนำลูกค้าท่านนี้ว่า 

“โปรดอย่ามาใช้บริการที่นี่อีก”

ผมอ่านทวนเนื้อข่าวนี้สองรอบ แบบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ลึกๆ ยังคงสงสัยว่าคนแปลข่าว แปลต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นผิดหรือเปล่า (จากเว็บข่าว Angel ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น)

สองตัวอย่างที่เห็นนี้ เป็นเพียงเหตุการณ์ส่วนหนึ่งของเทรนด์ของโลกที่กำลังเปลี่ยนไป 

ในโฆษณาชิ้นแรก (ผลิตภัณฑ์ S26 ของยาสีฟัน Salt) หากเป็นเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ แต่เกิดขึ้นสัก 10 ปีที่แล้ว คุณแม่คงรี่เข้าไปคว้าลิปสติก แล้วเริ่มสั่งสอน ห้ามปรามลูกด้วยถ้อยคำลบๆ ต่อสิ่งที่ลูกทำ แล้วยัดเยียดสิ่งตรงข้ามให้ลูกอยากทำแทน

ส่วนเหตุการณ์ที่สอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ ผู้บริหารร้านคงร้อนจนต้องส่งจดหมายไปขอโทษขอโพยลูกค้าท่านนั้น เผลอๆ มีแจกของที่ระลึก หรือส่วนลดพิเศษในการมาจับจ่ายใช้สอยครั้งต่อไปให้อีกด้วย

ทั้งสององค์กรนี้มีส่วนหนึ่งที่เหมือนกัน คือ วิสัยทัศน์ สิ่งที่ทั้งสองแห่งนำเสนอ คือ จุดยืนที่แข็งแรงในเรื่องความเท่าเทียมกันในสังคม ที่ควรเริ่มต้นจากที่ทำงานเสียก่อน 

ผมเชื่อว่า ลูกจ้างหรือพนักงานของบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกเห็น TVC ชิ้นนี้แล้วก็คงอดไม่ได้ที่จะรักและศรัทธาในต้วองค์กรที่พวกเขากำลังทำงานให้ในฐานะที่ใส่ใจในเรื่องนี้ จนกล้าที่จะนำเสนอประเด็นนี้ออกสู่สาธารณชน ส่วนลูกจ้างของร้านญี่ปุ่นนั้นคงยิ่งทุ่มเททำงานให้ร้านของตนยิ่งขึ้นไปอีก ยิงนกทีเดียว ได้คว้าใจพนักงานมาครองทั้งองค์กร

ในยุคปัจจุบัน ที่วากจะซ่อนเร้นการกระทำที่ไม่พัฒนา องค์กรขนาดใหญ่ได้หันมาสนใจเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศในที่ทำงานมาสักพักหนึ่งแล้ว 

ปีล่าสุด ในอเมริกา ดัชนีชี้วัดองค์กรที่ใส่ใจเรื่องนี้ ชื่อว่า Corporate Equality Index 2018 พบว่า ปี 2018 นี้ มีจำนวนองค์กรที่ถูกคัดเลือกและสามารถทำคะแนนได้เต็ม 100 คะแนน เพิ่มขี้นเป็น 609 องค์กร ในตำแหน่ง “Best Place to Work for LGBTQ Equality” (หรือ สถานที่ที่น่าทำงานที่สุดหลสำหรับบุคคลในกลุ่มหลากหลายทางเพศ) 

ดัชนีนี้มีความน่าเชื่อถือสูง ด้วยมีการเก็บข้อมูลมานาน จัดทำโดยองค์กรไม่แสวงหากำไรชื่อดัง คือ Human Rights Campaign โดยในปี 2002 หรือกว่า 16 ปีที่แล้ว มีองค์กรจากหลายภาคส่วนทำคะแนนเต็มร้อย เพียงแค่ 13 แห่งเท่านั้น ในองค์กรจำนวน 600 กว่าแห่งนี้ ที่ได้คะแนนเต็มร้อย มีหลายแห่งที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจอยู่ในระดับข้ามชาติ และยังเป็นบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 อีกกว่าครึ่งอีกด้วย (ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Corporate Equality Index 2018)

ทิศทางที่น่าสนใจคือ บริษัทในกลุ่ม Fortune 500 เกือบทั้งหมด มีการนำนโยบายเกี่ยวกับ “Sexual Orientation” หรือการไม่เลือกปฏิบัติจากความพึงพอใจทางเพศของลูกจ้าง ไปใช้ปฏิบัติแล้ว และบางแห่งก็เพิ่มเติม เรื่อง “Gender Identity” หรืออัตลักษณ์ทางเพศให้เป็นนโยบายเพื่อดูแลพนักงานอย่างทั่วถึง

ในประเทศไทย ก็เริ่มมีแนวคิดในการปฏิบัติลูกจ้างอย่างเท่าเทียมกัน แล้วบ้าง แต่ยังไม่ครอบคลุมในหลายๆ ด้านมากน้ก 

พนักงานเกย์ที่มีคู่ ย่อมรู้สึกได้ว่า ถูกเลือกปฏิบัติ หรือไม่ได้ใช้สิทธิ์อันพึงมีแบบพนักงานที่แต่งงานแล้ว ตัวอย่าง เช่น เงินสินสมรส บางแห่งมีเงินก้อนนี้ให้ชายหญิงเท่านั้น แต่คู่ชายชาย หรือหญิงหญิง ที่อยู่กินกันมานาน ก็ไม่ได้สิทธิ์นี้ แต่องค์กรประกันชีวิตแห่งหนี่งในไทยได้ปรับปรุงนโยบายนี้แล้ว โดยให้สิทธิ์คู่ชายชาย หรือหญิงหญิงที่มีหลักฐานการเป็นคู่อย่างแท้จริงมาแสดง ก็จะได้สิทธิ์นี้เช่นกัน

ในเรื่องนี้ กำลังเป็นทิศทางที่ต้องเรียกร้องให้มีการรับรองสถานะคู่ชีวิตของคู่เพศเดียวกัน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นพี่ใหญ่ในการเปิดกว้างเรื่องความแตกต่างหลากหลายอย่างแท้จริง 

กฎหมายจดทะเบียนคู่เพศเดียวกันกำลังได้รับความสนใจมากยิ่งขี้น สังเกตเห็นได้ว่า ไม่มีหน่วยงานไหนของภาครัฐแสดงอาการคัดค้าน และยิ่งช่วงก่อนการเลือกตั้ง (ถ้ามี) บรรดาพรรคการเมืองที่ฉลาดก็จะไม่พลาดที่จะหยิบยกเรื่องนี้มาเรียกคะแนนเสียง

แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ต้องมีการเทรนนิ่งเรื่องพวกนี้ในประเด็น หรือ 6 มุมมองต่อไปนี้ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน (มาจาก Corporate Equality Index 2018)

Sexuaul Orientation

Gender Identity

Domestic Partner Benefits

Trangender-Inclusive Benefits

Organizational LGBTQ Competency

Public Commitment on the LGBTQ Community

ซึ่งโดยรวมแล้ว ในองค์กรและหน่วยงานในประเทศไทยมีการพูดถึงเรื่องเหล่านี้เป็นจำนวนน้อยมาก แต่เทรนด์ต่างๆ ที่เกิดขี้นในสังคม จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้องค์กรและหน่วยงานหันมาสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจังได้แล้ว

คิดง่ายๆ ว่า พนักงานมากฝีมือคนหนึ่งเป็นเกย์ และเกิดมีคู่ แต่องค์กรไม่อยากรับรู้ หรือเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ วันหนึ่ง มีองค์กรคู่แข่ง มีนโยบาลสนับสนุนความเท่าเทียมกัน รวมถึงคู่เพศเดียวกัน มาดึงตัวไปด้วยผลประโยชน์ด้านนี้ จะเกิดอะไรขึ้น?

องค์กรต่างรู้ดีว่า ต้นทุนการรับสมัครและเทรนพนักงานใหม่เป็นราคาค่างวดที่ไม่น้อย และเมื่อสูญเสียพนักงานที่มากฝีมือไป ย่อมเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

Just a fallen scoop of ice cream

Just a fallen scoop of ice cream

In the same week Jazell Barbie Royale won the Miss International Queen 2019 in the Pattaya pageant, a cheap-shot advert against transgender women debuted on Thai TV. (Reuters photo)

Picture this TV ad: in an ice cream parlour, a gorgeous woman with the looks of a super-model waits for her order. With her appearance, make-up and dress, she resembles the delicious strawberry fondue ice cream she ordered. Her stunning beauty turns heads, especially those of male patrons sitting nearby with their eyes ready to pop out.

As the men gawk and another male customer, coming from nowhere, shows up to sit next to her, the ad reveals that she is transgender. As she speaks in a low-key male voice, suddenly, the men act as though their world has crashed around them: jaws drop and a spoon hits the ground to the sound of breaking glass.

My jaw dropped and my eyes were ready to pop out as well when watching the ad — though for a very different reason. In this day and age, I could not believe that this represented the best that an ad agency could come up with: an appeal to discrimination, a sneering at a sexual minority, a joke at their expense.

The ice cream ad, introducing a new flavour of Swensen’s ice cream, failed to impress the audience and drew intense social media backlash as people interpreted it as an insult and in poor taste. It was launched in early February and caught quick negative attention. After being strongly criticised earlier this month, the brand’s owner, Minor Food Group Pcl, withdrew it.

This unbelievably insensitive ad was hardly the first.

In 1997, a TV commercial for an alcoholic drink was launched with the same story line. A man enters a nightclub and bumps into a gorgeous woman. He offers her a drink but she refuses, then whispers to him in her male voice Boy Mai Duem Kha (Boy, her nickname, is not drinking that), to convey that the brand exclusively targets women. As in the ice cream parlour, the man acts as if his world collapsed after realising that he was flirting with a transgender woman.

In 2019, 22 years later, here we go again with the ice-cream ad. This is what passes for creativity? Then and now I have to ask: who on Earth at the agency thought that was clever?

Even today, the Boy Mai Duem catch phrase still rings in the ears of many Thai people. It is often used when someone is offered an alcoholic drink and he doesn’t want to drink.

In 1997, when much of Thai society wasn’t familiar with the words “sexual discrimination” or the concept of “human rights”, few Thai consumers saw anything wrong with the Boy Mai Duem ad. Any complaints about it were answered with, “It’s just a joke,” while avoiding the key question: Yes, it’s a joke, but at whose expense?

Now in 2019, Thailand is moving to legalise marriage equality as a human right, proudly presenting itself as the first country in Asia to champion same-sex marriage. Never before has “sexual discrimination” been discussed like this in mainstream media. Schools are aware of bullying. Transgender persons are joining every political party to run in the upcoming general election.

I wondered how the 7,000-person Minor Group, the ice cream brand’s owner, could be caught unaware of the changing attitudes towards gender sensitivity. When Dentsu Thailand, one of the country’s top ad agencies, showed its client the storyboards, how could anyone have been so clueless as to think this was a great idea?

As the controversy over the ad’s bad taste grew and a protest letter from an organisation representing lesbian, gay, bisexual, transgender, and queer (LGBTQ) people was made public, Dentsu Thailand released a letter explaining its non-discrimination policy, offered an apology and extended an invitation to meet with LGBTQ communities.

To the general public, transgender women are an easy target. In media, they are targeted with ridicule, being reduced to something subhuman. In the old days, when many transgender people had not yet attained a full physical female appearance, brands mocked their male looks in ads and audiences seemed to enjoy the petty feeling of superiority that comes from mockery.

These days, when they step up to compete with heterosexual beauty queens, they seem to have made progress in societal perception. Even so, you hear thinks like: “She is so pretty, but it’s too bad, she is not a real woman.” Or “If she were a woman, I’d fall for her.” And “Oh, she really looks like a woman.”

On a social media platform, an executive expat living in Thailand, wrote that the country is very supportive of LGBTQ people because “no other countries in the world have lots of transgender women working in convenience and department stores”. But the executive never questioned why he doesn’t see such people in high-paying, high-status jobs.

As long as transgender women have limited access to education and career choices, their status will remain as they were perceived in 1997, and as demonstrated today by the ice cream ad.

Advertisements come and go, but public opinion must be challenged. As long as the LGBTQ communities and the transgender people fail to create a new public perception, they will never be viewed differently.

And in the public’s eyes, we will remain just another fallen scoop of icecream