LGBT Chronicle: อังกฤษล้ำยกเครื่องหลักสูตรเพศวัยใสหวังไล่ท้นยุคโซเชียล

LGBT Chronicle: อังกฤษล้ำยกเครื่องหลักสูตรเพศวัยใสหวังไล่ท้นยุคโซเชียล

เจ้าแห่งระบบการศึกษาของโลกอย่างอังกฤษ ไม่ใช่แค่ขยับ แต่ครั้งนี้ ปรับใหญ่ มั่นใจหลักสูตรเพศศึกษาและความสัมพันธ์ระหว่างเพศแนวใหม่จะสามารถเตรียมเยาวชนตั้งแต่ชั้นประถมให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัลได้

Relationship and Sex Education หรือหลักสูตรการศึกษาด้านเพศสัมพันธ์และความสัมพันธ์ เรียกย่อๆ ว่า RSE กำลังถูกเตรียมนำไป “บังคับใช้” ในทุกโรงเรียนประถมทั่วเกาะอังกฤษ และมีกำหนดว่าต้องเริ่มใช้ในอีกสองปีข้างหน้า นับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2020

เขาจะสอนอะไร?
หลักสูตรด้านเพศของประเทศฉบับปัจจุบัน มีอายุ 18 ปีแล้ว ซึ่งถูกปรับมาเมื่อปี 2000 แต่โลกเปลี่ยนเร็วมากจนต้องหันมาทบทวนกันอีกครั้งแบบ…ยกเครื่อง แล้วที่รู้ว่าโลกเปลี่ยนและหลักสูตรการศึกษาตามไม่ทันก็เพราะเกิดปัญหาในหมู่เยาวชนมากมายจนผู้ใหญ่เวียนศีรษะ…คิดไม่ออก

ไม่ว่าจะเรื่องคุณแม่วัยใส เรื่องเยาวชนสับสนในความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ประเด็น LGBT รวมถึงการ Bully หรือการกลั่นแกล้งแทงใจกันด้วยคำพูดและการกระทำทั้งต่อหน้าและลับหลัง ปัญหาเรื่องนี้ทวีความรุนแรงและรวดเร็ว

นอกจากเรื่องเพศศึกษาทั่วไปที่ต้องปรับมุมมองของผู้สอนและผู้เรียนแล้ว หลักสูตร RSE จะพูดถึงเรื่อง ความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่หลากหลาย เช่นความสัมพันธ์ของเพศเดียวกัน การแต่งงานสำหรับคนเพศเดียวกัน ความหมายใหม่ของคำว่าครอบครัวที่อาจจะมีพ่อกับพ่อ มีแม่กับแม่ เรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) เรื่องการยินยอมพร้อมใจที่จะมีเพศสัมพันธ์ และเรื่องการใช้สื่อออนไลน์อย่างรู้เท่าทันและไม่ถูกหลอก

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาของอังกฤษผู้คล่องแคล่วและมาดมั่น นายเดเมียน ไฮนด์ส (Damian Hinds) ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งนี้เมื่อต้นปี 2018 (และเป็นผู้ชายทั่วไปที่สนับสนุน Gay Marriage) บอกว่า พอจบชั้นประถม อย่างน้อยเด็กๆ ต้องรู้ว่า ในโลกนี้มีครอบครัวหลากหลายแบบและแสนจะแตกต่างจากที่เด็กรู้จักจากเพื่อน เพราะโลกนี้เป็นโลกกว้าง ต้องหัดเคารพความแตกต่างหลากหลายของคน และเรียนรู้ด้วยว่า ครอบครัวแบบไหนก็ตาม ต่างมีความห่วงใยและผูกพันด้วยความรักกันทั้งนั้น

หัวข้อ LGBT เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกบรรจุไว้ใน RSE เขายังบอกด้วยว่า สำหรับคุณครูที่สอนหัวข้อนี้ ต้องมีการเตรียมตัวด้วย เพราะในระหว่างที่สอนอาจจะพบเจอเด็กที่กำลังสงสัยตัวเองอยู่ว่าอาจจะเป็น LGBT (นี่คงต้องรวมกรณีเด็กมีความคิดจะฆ่าตัวตาย) และต้องรู้วิธีสื่อสารกับเด็กที่กำลังเผชิญกับภาวะสับสนในตัวตนให้ถูกต้องด้วย

เรียนตั้งแต่ประถม คุณพ่อคุณแม่จะว่าอะไรมั๊ย?
ถ้าเป็นคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองมาอ่านเรื่องนี้ ก็ต้องถามเหมือนกัน ไม่เด็กไปหรือนะคุณ เอามาสอนตั้งแต่ประถมน่ะ ที่มาสอนเรื่องเพศศึกษาและความสัมพันธ์ และยังมีเรื่อง LGBT มาเกี่ยวข้องอีกด้วย เรื่องนี้ คนที่ออกแบบหลักสูตรได้เตรียมรับมือไว้แล้ว…อย่างสวยเลยล่ะ

กรณีนี้ ถึงแม้หลักสูตรนี้เป็นวิชาภาคบังคับ แต่ในทางปฏิบัติย่อมมีหนทางยืดหยุ่น ถ้าครอบครัวนั้นมีเรื่องความเปราะบางของศาสนามาเกี่ยวข้อง หรือคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครองไม่พึงพอใจให้ลูกหลานรับรู้ ก็สามารถเอาเด็กออกจากวิชานั้นๆ ได้ โดยทางโรงเรียนเป็นผู้ประเมินว่า ควรสอนในลักษณะไหนเพื่อให้เหมาะกับผู้เรียนที่สุด ทั้งในเรื่องอายุ การรับรู้ และศาสนา

นายไฮนด์ส ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่า การได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการถือเป็นงานในฝันของเขา บอกว่า แล้วแต่พ่อแม่ ถ้าไม่พอใจที่จะให้ลูกเรียน แต่ถ้าเด็กอายุ 16 บรรลุนิติภาวะแล้ว เด็กสามารถเลือกได้เองว่าจะเรียนเรื่องนี้ในโรงเรียนหรือไม่ โดยพ่อแม่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ด้วยโลกเปลี่ยนอย่างเร็วมาก เยาวชนต้องได้รับการเตรียมตัวให้ทันโลกเพื่อให้พวกเขาปรับตัวได้ในเรื่องเกี่ยวกับตัวเองและความสัมพันธ์กับผู้อื่น

การปฏิวัติหลักสูตรเพศศึกษาและความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่เป็นการเตรียมตัวเยาวชน แต่ยังจะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดจากความไม่เข้าใจเรื่องเพศที่นำไปสู่การท้องไม่พร้อม การติดเชื้อเอช ไอ วีในหมู่เยาวชน รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ และการทำร้ายร่างกายกันเพราะไม่เข้าใจความแตกต่างหลากหลายทางเพศ ที่นำไปสู่ความรุนแรง การทำร้ายร่างกาย จนสูญเสียชีวิต

นักการศึกษาของอังกฤษเห็นภาพรวมของปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นและยอมรับว่า หลักสูตรปัจจุบันที่อายุกว่า 18 ปี เขียนขึ้นในยุคก่อนที่เยาวชนจะเข้าถึงข่าวสารข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือได้ ทำให้เกิดคำถามเรื่องการรู้เท่าท้นที่เยาวชนควรรู้ทั้งเรื่องความปลอดภัยและเรื่องกฎหมาย

ผมเชื่อว่าในไม่ช้าหลักสูตรการศึกษาของไทยก็จะต้องหันมาไล่ให้ทันเยาวชนไทยที่ถูกส่งออกไปเผชิญประเด็นทางเพศและความสัมพันธ์แบบงงๆ และเลิกความคิดเดิมๆ เก่าๆ เช่น ชี้โพรงให้กระรอก หรือเรื่องเพศเป็นเรื่องน่าอาย

ปัญหาเดิมๆ ควรจบได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนส่วนใหญ่ที่ยังใช้การบรรยายเป็นเพียงเครื่องมือเดียวในการสื่อสาร และครูส่วนใหญ่ก็ขาดความรู้เชิงเทคนิคในการสอนวิชาเพศวิถีศึกษา (หากเรียกว่า เพศศึกษา อาจจะฟังดูโบร่ำโบราณไปแล้ว) ผลวิจัยของมหิดลฉบับหนึ่งเรื่องการทบทวนการเรียนการสอนเพศวิถีศึกษาในสถานศึกษาไทย ระบุว่า นักเรียนชายระดับม. 1 ถึง ม. 6 ร้อยละ 16 (ผมว่าน้อยไปนะ) เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว และมีนักเรียนจำนวนมากที่มีทัศนคติไม่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิทางเพศ

เรื่องเพศไม่ใช่เรื่องต้องปกปิด เพราะยิ่งปิด ยิ่งอยากรู้ ส่วนความอยากลอง เราก็ล้วนมีอยู่ในตัวทุกคนไม่ว่าจะวัยไหน

เทรนด์องค์กร: ความเท่าเทียมกันในความแตกต่าง

เทรนด์องค์กร: ความเท่าเทียมกันในความแตกต่าง

“ขอบคุณครับแม่ ที่เชื่อในสิ่งที่ผมรัก” 

เด็กผู้ชายวัยอนุบาลกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ ประตูเปิดออก คุณแม่มองมาที่ลูกน้อยอย่างไม่เชื่อสายตา ลูกชายกำลังเอาลิปสติกมาทาปากตัวเองจนเลอะเทอะไปหมด สีหน้าของคุณแม่แสดงความกังวลจนคนดูลุ้นว่า เธอจะทำอะไรต่อไป

ภาพในหัว เธอเห็นตัวเองไม่พอใจ เห็นตุ๊กตาในบ้าน รูปถ่ายต่างๆ มีสีทาไปที่ปากเต็มไปหมด ในหัวของเธอ เธอกำลังเกรี้ยวกราดกับลูกน้อยอย่างอารมณ์เสียที่สุด และเป็นภาพที่เธอรับไม่ได้

แต่แล้ว เธอเลือกที่จะไม่ห้ามปราม แต่ปล่อยให้ลูกน้อยค้นหา เธอเอาใบหน้าของเธอเองให้ลูกละเลงทาลิปสติก ภาพตัดกลับไป เขาได้เป็นศิลปินตัวน้อยที่กำลังทำงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่พร้อมๆ กับเสียงบรรยายประกอบโฆษณาของไทยชิ้นนี้ว่า 

“ขอบคุณครับแม่ ที่เชื่อในสิ่งที่ผมรัก” 

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประเทศญี่ปุ่น มีร้านขายของแห่งหนึ่ง นิยมชมชอบการดูแลใส่ใจความรู้สีกและความคิดเห็นของลูกค้าเป็นอย่างมาก วันหนึ่งมีใบคอมเม้นท์จากลูกค้าท่านหนึ่ง ส่งเสียงบ่นปนคำสั่งว่า เขาเห็นคู่เกย์เดินจับมือกันเข้ามาที่ร้าน และเริ่มสังเกตเห็นว่า ร้านนี้มีลูกค้าเกย์หนาตามากยิ่งขี้น จนรู้สึก “ขัดหูขัดตา” จึงขอให้ร้านหาทางไม่ให้มีเกย์มาซื้อของที่นี่

ทางผู้บริหารของร้านตอบกลับไปว่า ร้านนี้ให้บริการลูกค้าทุกคนและลูกค้าทุกคนมีความสำคัญ ประกอบกับทางร้านมีลูกจ้างเป็นประชากรกลุ่มนี้ จึงขอแนะนำลูกค้าท่านนี้ว่า 

“โปรดอย่ามาใช้บริการที่นี่อีก”

ผมอ่านทวนเนื้อข่าวนี้สองรอบ แบบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ลึกๆ ยังคงสงสัยว่าคนแปลข่าว แปลต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นผิดหรือเปล่า (จากเว็บข่าว Angel ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น)

สองตัวอย่างที่เห็นนี้ เป็นเพียงเหตุการณ์ส่วนหนึ่งของเทรนด์ของโลกที่กำลังเปลี่ยนไป 

ในโฆษณาชิ้นแรก (ผลิตภัณฑ์ S26 ของยาสีฟัน Salt) หากเป็นเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ แต่เกิดขึ้นสัก 10 ปีที่แล้ว คุณแม่คงรี่เข้าไปคว้าลิปสติก แล้วเริ่มสั่งสอน ห้ามปรามลูกด้วยถ้อยคำลบๆ ต่อสิ่งที่ลูกทำ แล้วยัดเยียดสิ่งตรงข้ามให้ลูกอยากทำแทน

ส่วนเหตุการณ์ที่สอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ ผู้บริหารร้านคงร้อนจนต้องส่งจดหมายไปขอโทษขอโพยลูกค้าท่านนั้น เผลอๆ มีแจกของที่ระลึก หรือส่วนลดพิเศษในการมาจับจ่ายใช้สอยครั้งต่อไปให้อีกด้วย

ทั้งสององค์กรนี้มีส่วนหนึ่งที่เหมือนกัน คือ วิสัยทัศน์ สิ่งที่ทั้งสองแห่งนำเสนอ คือ จุดยืนที่แข็งแรงในเรื่องความเท่าเทียมกันในสังคม ที่ควรเริ่มต้นจากที่ทำงานเสียก่อน 

ผมเชื่อว่า ลูกจ้างหรือพนักงานของบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกเห็น TVC ชิ้นนี้แล้วก็คงอดไม่ได้ที่จะรักและศรัทธาในต้วองค์กรที่พวกเขากำลังทำงานให้ในฐานะที่ใส่ใจในเรื่องนี้ จนกล้าที่จะนำเสนอประเด็นนี้ออกสู่สาธารณชน ส่วนลูกจ้างของร้านญี่ปุ่นนั้นคงยิ่งทุ่มเททำงานให้ร้านของตนยิ่งขึ้นไปอีก ยิงนกทีเดียว ได้คว้าใจพนักงานมาครองทั้งองค์กร

ในยุคปัจจุบัน ที่วากจะซ่อนเร้นการกระทำที่ไม่พัฒนา องค์กรขนาดใหญ่ได้หันมาสนใจเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศในที่ทำงานมาสักพักหนึ่งแล้ว 

ปีล่าสุด ในอเมริกา ดัชนีชี้วัดองค์กรที่ใส่ใจเรื่องนี้ ชื่อว่า Corporate Equality Index 2018 พบว่า ปี 2018 นี้ มีจำนวนองค์กรที่ถูกคัดเลือกและสามารถทำคะแนนได้เต็ม 100 คะแนน เพิ่มขี้นเป็น 609 องค์กร ในตำแหน่ง “Best Place to Work for LGBTQ Equality” (หรือ สถานที่ที่น่าทำงานที่สุดหลสำหรับบุคคลในกลุ่มหลากหลายทางเพศ) 

ดัชนีนี้มีความน่าเชื่อถือสูง ด้วยมีการเก็บข้อมูลมานาน จัดทำโดยองค์กรไม่แสวงหากำไรชื่อดัง คือ Human Rights Campaign โดยในปี 2002 หรือกว่า 16 ปีที่แล้ว มีองค์กรจากหลายภาคส่วนทำคะแนนเต็มร้อย เพียงแค่ 13 แห่งเท่านั้น ในองค์กรจำนวน 600 กว่าแห่งนี้ ที่ได้คะแนนเต็มร้อย มีหลายแห่งที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจอยู่ในระดับข้ามชาติ และยังเป็นบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 อีกกว่าครึ่งอีกด้วย (ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Corporate Equality Index 2018)

ทิศทางที่น่าสนใจคือ บริษัทในกลุ่ม Fortune 500 เกือบทั้งหมด มีการนำนโยบายเกี่ยวกับ “Sexual Orientation” หรือการไม่เลือกปฏิบัติจากความพึงพอใจทางเพศของลูกจ้าง ไปใช้ปฏิบัติแล้ว และบางแห่งก็เพิ่มเติม เรื่อง “Gender Identity” หรืออัตลักษณ์ทางเพศให้เป็นนโยบายเพื่อดูแลพนักงานอย่างทั่วถึง

ในประเทศไทย ก็เริ่มมีแนวคิดในการปฏิบัติลูกจ้างอย่างเท่าเทียมกัน แล้วบ้าง แต่ยังไม่ครอบคลุมในหลายๆ ด้านมากน้ก 

พนักงานเกย์ที่มีคู่ ย่อมรู้สึกได้ว่า ถูกเลือกปฏิบัติ หรือไม่ได้ใช้สิทธิ์อันพึงมีแบบพนักงานที่แต่งงานแล้ว ตัวอย่าง เช่น เงินสินสมรส บางแห่งมีเงินก้อนนี้ให้ชายหญิงเท่านั้น แต่คู่ชายชาย หรือหญิงหญิง ที่อยู่กินกันมานาน ก็ไม่ได้สิทธิ์นี้ แต่องค์กรประกันชีวิตแห่งหนี่งในไทยได้ปรับปรุงนโยบายนี้แล้ว โดยให้สิทธิ์คู่ชายชาย หรือหญิงหญิงที่มีหลักฐานการเป็นคู่อย่างแท้จริงมาแสดง ก็จะได้สิทธิ์นี้เช่นกัน

ในเรื่องนี้ กำลังเป็นทิศทางที่ต้องเรียกร้องให้มีการรับรองสถานะคู่ชีวิตของคู่เพศเดียวกัน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นพี่ใหญ่ในการเปิดกว้างเรื่องความแตกต่างหลากหลายอย่างแท้จริง 

กฎหมายจดทะเบียนคู่เพศเดียวกันกำลังได้รับความสนใจมากยิ่งขี้น สังเกตเห็นได้ว่า ไม่มีหน่วยงานไหนของภาครัฐแสดงอาการคัดค้าน และยิ่งช่วงก่อนการเลือกตั้ง (ถ้ามี) บรรดาพรรคการเมืองที่ฉลาดก็จะไม่พลาดที่จะหยิบยกเรื่องนี้มาเรียกคะแนนเสียง

แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ต้องมีการเทรนนิ่งเรื่องพวกนี้ในประเด็น หรือ 6 มุมมองต่อไปนี้ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน (มาจาก Corporate Equality Index 2018)

Sexuaul Orientation

Gender Identity

Domestic Partner Benefits

Trangender-Inclusive Benefits

Organizational LGBTQ Competency

Public Commitment on the LGBTQ Community

ซึ่งโดยรวมแล้ว ในองค์กรและหน่วยงานในประเทศไทยมีการพูดถึงเรื่องเหล่านี้เป็นจำนวนน้อยมาก แต่เทรนด์ต่างๆ ที่เกิดขี้นในสังคม จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้องค์กรและหน่วยงานหันมาสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจังได้แล้ว

คิดง่ายๆ ว่า พนักงานมากฝีมือคนหนึ่งเป็นเกย์ และเกิดมีคู่ แต่องค์กรไม่อยากรับรู้ หรือเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ วันหนึ่ง มีองค์กรคู่แข่ง มีนโยบาลสนับสนุนความเท่าเทียมกัน รวมถึงคู่เพศเดียวกัน มาดึงตัวไปด้วยผลประโยชน์ด้านนี้ จะเกิดอะไรขึ้น?

องค์กรต่างรู้ดีว่า ต้นทุนการรับสมัครและเทรนพนักงานใหม่เป็นราคาค่างวดที่ไม่น้อย และเมื่อสูญเสียพนักงานที่มากฝีมือไป ย่อมเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

วิจัยล่าสุด World Bank ชี้ LGBT ไทยถูกเลือกปฏิบัติอย่างน่าเป็นห่วง

วิจัยล่าสุด World Bank ชี้ LGBT ไทยถูกเลือกปฏิบัติอย่างน่าเป็นห่วง

ถ้าบุคคลเหล่านี้เป็นลูกหลาน หรือพี่น้องของคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร?

“พวกเขาบอกว่า ตำแหน่งงานนี้ สำหรับผู้หญิงเท่านั้น เธอไม่ใช่ผู้หญิง…ทางผู้ใหญ่เขาต้องการผู้หญิง ‘แท้ๆ’ เธอไม่ใช่ผู้หญิง เธอมีคำนำหน้าชื่อว่า ‘นาย’” (บุคคลเพศกำกวมวัย 27 ปี)

“เมื่อฉันต้องติดต่อธนาคาร พวกเขาก็มักจะมีปัญหากับบัตรประชาชนของฉัน
…พวกเขามักจะสงสัย และบอกว่าต้องสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม” (ผู้หญิงข้ามเพศ อายุ 20 ปี)

หรือคุณทำงานเก่งมาก บรรลุวัตถุประสงค์ของทุกงาน ได้รับคำชื่นชมจากเพื่อนร่วมงาน และลูกค้า แต่หัวหน้างานของคุณพิจารณาเลื่อนตำแหน่งให้อีกคน เพราะ…คุณเป็นเกย์ / ทอม

ต้องขอบคุณงานวิจัยและสำรวจสถานะ LGBT ไทยโดยธนาคารโลก ในเรื่องชีวิต ความเป็นอยู่น่างๆ ในรายงานล่าสุดที่เพิ่งเปิดเผยออกมา ที่มีชื่อว่า การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของกลุ่ม LGBTI ในประเทศไทย (Economic Inclusion of LGBTI in Thailand in 2018) 

ที่ธนาคารโลกให้ความสำคัญเรื่องนี้ เพราะประเทศไทยมีความพร้อมหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะมีสถานะและโอกาสที่จะ “เป็นผู้นำในระดับโลกด้านการมีส่วนร่วมของกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ และสามารถที่จะเป็นแบบอย่างสำหรับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย”

แต่พอมาดูสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น ก็ดูจะเป็น “งานช้าง” ไม่น้อย ถ้าไทยจะเป็นต้นแบบอันดีงามในเรื่องนี้ เพราะในหลายภาคส่วน LGBT ถูกเลือกปฏิบัติ และปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ได้รับการดูแลอย่างจริงจัง ไม่ว่าในเรื่องของโอกาสในการทำงาน การรับบริการของรัฐ การศึกษาหรือฝึกอบรม และบริการด้าน

สาธารณสุข ตลอดจนการซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และการประกันสุขภาพ

ที่น่าสนใจมากๆ คือ รายงานฉบับนี้มีส่วนพิเศษตรงที่มีการสำรวจความเห็นของบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่ LGBT จำนวนถึง 1,200 คนว่ามีมุมมองต่อกลุ่ม LGBT อย่างไร นอกเหนือจากการสำรวจกลุ่ม LGBT ขนาดใหญ่ถึง 3,502 คน ผ่านแบบสอบถาม นับเป็นการสำรวจกลุ่ม LGBT ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมาในหัวข้อการเลือกปฏิบัตื

อยากจะหยิบยกบางเรื่องที่สะท้อนภาพความทุกข์ใจที่น้อยสื่อนักมักจะพูดถึง เพราะสื่อส่วนใหญ่นำเสนอภาพความสนุกสนานในชีวิต สารพันบันเทิง ความผิดพลาดของการดำเนินชีวิต และภาพฉาบหน้าว่า LGBT ไทย ช่าง “โชคดี” อะไรเช่นนี้ที่เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย 

เชื่อหรือไม่ว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของ LGBT บอกว่า ใบสมัครงานมักจะโดนปฏิเสธ “ด้วยเหตุแห่งการมีอัตลักษณ์เป็นบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ”

กรณีเข้าทำงานแล้ว การสำรวจพบว่า ร้อยละ 40 ของของผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นบุคคลข้ามเพศ เคยถูกละเมิดทางเพศ หรือล้อเลียนในที่ทำงาน 

ในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม ที่เป็นเกย์ ร้อยละ 22.7 ระบุว่า ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเนื่องจากเป็นบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ

แม้บางคนต้องการเป็นตัวของตัวเองในที่ทำงาน แต่กลับถูกห้าม ในประเด็นนี้ มีถึงร้อยละ 24.5 ของเลสเบี้ยน เกย์ และคนข้ามเพศที่ตอบแบบสอบถาม บอกว่า พวกเขาถูกห้ามไม่ให้เปิดเผยตัว

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ยังต้องเพิ่มเติมบนความไม่ต้องแปลกใจด้วยว่า ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีกฎหมายที่ห้ามการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในกลุ่มนี้ เกินกว่าครึ่ง และไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ เกินกว่าสองในสาม บอกว่า ไม่รู้ว่ามีกฎหมายดังกล่าวอยู่ (พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558)

ต้องบอกว่า รายงานฉบับนี้ ได้ชี้ให้เห็นทัศนคติที่น่าเป็นห่วงจากสังคมส่วนใหญ่ที่มองคนกลุ่มนี้ และเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนความคิดนึกของคนได้ โดยมี คนจำนวนหนึ่งในสาม ที่ไม่ใช่ LGBT (ร้อยละ 37.4) บอกว่า

“ยอมรับได้หากผู้ว่าจ้างเลือกปฏิบัติต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ” และน่าเศร้าใจที่เกือบครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 48 ที่ไม่ใช่ LGBT บอกว่า

“เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว ที่กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศประสบกับการเลือกปฏิบัติบางรูปแบบในเวลาที่เข้าใช้บริการรัฐ”

คุณมีคนที่รัก หรือสนิทด้วยเป็น LGBT มั๊ย?


ผู้เขียน: วิทยา แสงอรุณ

 

Just a fallen scoop of ice cream

Just a fallen scoop of ice cream

In the same week Jazell Barbie Royale won the Miss International Queen 2019 in the Pattaya pageant, a cheap-shot advert against transgender women debuted on Thai TV. (Reuters photo)

Picture this TV ad: in an ice cream parlour, a gorgeous woman with the looks of a super-model waits for her order. With her appearance, make-up and dress, she resembles the delicious strawberry fondue ice cream she ordered. Her stunning beauty turns heads, especially those of male patrons sitting nearby with their eyes ready to pop out.

As the men gawk and another male customer, coming from nowhere, shows up to sit next to her, the ad reveals that she is transgender. As she speaks in a low-key male voice, suddenly, the men act as though their world has crashed around them: jaws drop and a spoon hits the ground to the sound of breaking glass.

My jaw dropped and my eyes were ready to pop out as well when watching the ad — though for a very different reason. In this day and age, I could not believe that this represented the best that an ad agency could come up with: an appeal to discrimination, a sneering at a sexual minority, a joke at their expense.

The ice cream ad, introducing a new flavour of Swensen’s ice cream, failed to impress the audience and drew intense social media backlash as people interpreted it as an insult and in poor taste. It was launched in early February and caught quick negative attention. After being strongly criticised earlier this month, the brand’s owner, Minor Food Group Pcl, withdrew it.

This unbelievably insensitive ad was hardly the first.

In 1997, a TV commercial for an alcoholic drink was launched with the same story line. A man enters a nightclub and bumps into a gorgeous woman. He offers her a drink but she refuses, then whispers to him in her male voice Boy Mai Duem Kha (Boy, her nickname, is not drinking that), to convey that the brand exclusively targets women. As in the ice cream parlour, the man acts as if his world collapsed after realising that he was flirting with a transgender woman.

In 2019, 22 years later, here we go again with the ice-cream ad. This is what passes for creativity? Then and now I have to ask: who on Earth at the agency thought that was clever?

Even today, the Boy Mai Duem catch phrase still rings in the ears of many Thai people. It is often used when someone is offered an alcoholic drink and he doesn’t want to drink.

In 1997, when much of Thai society wasn’t familiar with the words “sexual discrimination” or the concept of “human rights”, few Thai consumers saw anything wrong with the Boy Mai Duem ad. Any complaints about it were answered with, “It’s just a joke,” while avoiding the key question: Yes, it’s a joke, but at whose expense?

Now in 2019, Thailand is moving to legalise marriage equality as a human right, proudly presenting itself as the first country in Asia to champion same-sex marriage. Never before has “sexual discrimination” been discussed like this in mainstream media. Schools are aware of bullying. Transgender persons are joining every political party to run in the upcoming general election.

I wondered how the 7,000-person Minor Group, the ice cream brand’s owner, could be caught unaware of the changing attitudes towards gender sensitivity. When Dentsu Thailand, one of the country’s top ad agencies, showed its client the storyboards, how could anyone have been so clueless as to think this was a great idea?

As the controversy over the ad’s bad taste grew and a protest letter from an organisation representing lesbian, gay, bisexual, transgender, and queer (LGBTQ) people was made public, Dentsu Thailand released a letter explaining its non-discrimination policy, offered an apology and extended an invitation to meet with LGBTQ communities.

To the general public, transgender women are an easy target. In media, they are targeted with ridicule, being reduced to something subhuman. In the old days, when many transgender people had not yet attained a full physical female appearance, brands mocked their male looks in ads and audiences seemed to enjoy the petty feeling of superiority that comes from mockery.

These days, when they step up to compete with heterosexual beauty queens, they seem to have made progress in societal perception. Even so, you hear thinks like: “She is so pretty, but it’s too bad, she is not a real woman.” Or “If she were a woman, I’d fall for her.” And “Oh, she really looks like a woman.”

On a social media platform, an executive expat living in Thailand, wrote that the country is very supportive of LGBTQ people because “no other countries in the world have lots of transgender women working in convenience and department stores”. But the executive never questioned why he doesn’t see such people in high-paying, high-status jobs.

As long as transgender women have limited access to education and career choices, their status will remain as they were perceived in 1997, and as demonstrated today by the ice cream ad.

Advertisements come and go, but public opinion must be challenged. As long as the LGBTQ communities and the transgender people fail to create a new public perception, they will never be viewed differently.

And in the public’s eyes, we will remain just another fallen scoop of icecream